
1. เลิก พ ย า ย า ม ทำให้คนอื่นต้องพอใจอยู่ตลอดเวลา
การกังวลว่าคนอื่นจะไม่ชอบเรา เป็นสิ่งที่เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ เราต่างก็ผิดหวังเพราะคาดหวังว่าคนอื่นจะทำแบบที่ตัวเองต้องการ เราจึงทำดีกับคนอื่น
เพราะคาดหวังให้คนอื่นทำดีกับเรา และนั่นคือสิ่งที่สร้างความไม่เป็นอิสระในตัวเอง ให้เกียรติและเคารพตัวเองให้มากพอที่จะแคร์สิ่งที่ตัวเราเองต้องการ โดยที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน
เราทำให้ทุกคนในโลกพอใจตลอดเวลาเวลาไม่ได้หรอกค่ะ คนที่เราควรแคร์ที่สุด…คือตัวเราเอง
2. เลิกวิจารณ์ตัวเอง
หยุดโทษตัวเองในสิ่งที่คุณทำไม่สำเร็จ ให้เกียรติและเคารพตัวเองให้มากพอที่จะให้อภัยและก้าวต่อ ทำความเข้าใจให้ได้ว่า ชีวิตคนเราไม่จำเป็นต้องได้ในทุกสิ่งที่ต้องการ
แต่เราจะได้ในทุกสิ่งที่เราสมควรได้รับ และนั่นคือเหตุผล ที่คุณต้องเห็นคุณค่าในตัวเอง เชื่อมั่นว่าตัวคุณเองมีค่าพอที่จะได้รับในสิ่งที่ดีที่สุด
3. เลิกคาดหวังกับความสมบูรณ์แบบ
คุณไม่จำเป็นต้องไขว่คว้าหาความสมบูรณ์แบบตลอดเวลา เพราะมันไม่มีอยู่จริง เป็นเพียงภาพลวงตาเท่านั้น ในแง่หนึ่งมันอาจทำให้คุณมีแรง ก ร ะ ตุ้ น ที่จะพัฒนาตัวเอง
แต่ในอีกแง่หนึ่ง มันก็สร้างความกดดัน และความรู้สึก ‘ไม่ดีพอ’ ให้เกิดขึ้นได้ ลองเปลี่ยนแนวคิดจากการต้องทำทุกอย่างให้สมบูรณ์แบบ เป็นการทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้
ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณจะสามารถทำได้แล้ว จงชื่นชมกับมัน เห็นคุณค่าในความ พ ย า ย า ม นี้ มีความสุขกับมัน ยอมรับในความผิดพลาด
ทำความเข้าใจว่าไม่มีอะไรสมบูรณ์แบบ ความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น ก็ไม่ใช่ความล้มเหลวที่แท้จริง แต่คือโอกาสในการเรียนรู้เพื่อจะเติบโต เราไม่เคยแพ้หรอก บางครั้งเราชนะ และบางครั้งเราได้เรียนรู้..
4. เลิกทำตัวยุ่งตลอดเวลา
เพราะการแข่งขันที่สูง สังคมทุกวันนี้จึงผลักดันให้เราต้องรีบเร่ง ต้องทำอะไรให้เร็วอยู่ตลอดเวลา เร่งทำงานให้เสร็จตามกำหนด เพื่อที่จะได้เริ่มทำงานใหม่อย่างรีบเร่งอีกเช่นเคย
เพราะกับดักของค่านิยมในสังคม การเร่งรีบกับทุกสิ่งไม่ได้หมายความว่าจะดีเสมอไป หลายครั้งที่ยิ่งหักโหม ยิ่งทำให้ผลที่ออกมาไม่ดีเท่าที่ควรจะเป็น ลองหยุดพักแล้วฟังเสียง ร่ า ง ก า ย ตัวเองกันค่ะ
ตอนนี้มันอาจกำลังร่ำร้องด้วยความ เ จ็ บ ป ว ด ผ่านอาการที่แสดงออกมา การ ป่ ว ย ไ ข้ ง่วง เ พ ลี ย ตลอดเวลา หรือแม้กระทั่ง สิ ว ที่ขึ้นบนใบหน้า สิ่งเหล่านั้นคือการประท้วงของ ร่ า ง ก า ย
เรียกร้องให้เราต้องหยุด ลองหาเวลาหยุดจากความรีบเร่งทั้งปวง ไปใช้เวลานั้นกับสิ่งที่คุณรัก หรือเที่ยวสถานที่ธรรมชาติให้จิตใจได้ผ่อนคลาย
เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ให้กับ ร่ า ง ก า ย และจิต วิ ญ ญ า ณ ให้สามารถกลับมายิ้มได้อีกครั้ง
5. เลิกวิ่งไล่ตามความสุข
บางครั้งเราก็ นิ ย า ม ความสุขไว้ไกลเกินกว่าที่ควรจะเป็น กำหนดกะเกณฑ์ว่าต้องประสบความสำเร็จ มีทรัพย์สินเงินทอง บ้าน รถ ชื่อเสียง ที่มากพอ จึงจะมีความสุข วิ่งไล่ไขว่คว้าหาความสุขนอกกาย
ทั้งที่สามารถหาได้จากสิ่งรอบตัวในทุกวัน พระอาทิตย์ขึ้น ย า ม เ ช้ า กาแฟหอมกรุ่นสักแก้ว เสียงหัวเราะของคนรอบตัว สุ ข ภ า พ ที่ยังครบสมบูรณ์ ไม่ได้บอกว่าเราไม่ควรไขว่คว้าหาความสุขนอกกายนะคะ
แต่ถ้าเราสามารถชื่นชมยินดีกับสิ่งที่มีอยู่แล้วได้ ความสุขเล็ก ๆ ก็เกิดขึ้นได้ทันทีในขณะที่เราชื่นชมมัน
6. เลิกกังวลเกี่ยวกับอนาคต
ต้องยอมรับว่าบางสิ่งก็ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ว่าเราจะ พ ย า ย า ม แค่ไหน อนาคตเป็นผลมาจากความคิดและการกระทำในปัจจุบัน คุณต้องรับผิดชอบต่อสิ่งที่คุณเลือกคิดและทำในห้วงขณะนี้ ‘คุณคือสิ่งที่คุณเชื่อ คุณคืออะไรก็ตามที่คุณเลือกที่จะเป็นและเชื่อมั่นอย่างสุดจิตสุดใจ’ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องกังวลถึงอนาคต แค่เลือกคิดและทำปัจจุบันขณะให้ดีที่สุดก็พอ และปล่อยให้ ‘จังหวะชีวิต’ ทำงาน
7. เลิกคิดไปเอง
ส ม อ ง มนุษย์มักจินตนาการในด้านลบอยู่เสมอ เป็นกลไกป้องกันตนเองที่ติดอยู่ในตัวมนุษย์เรามาตั้งแต่อดีต หลายครั้งที่การคิดไปเองว่าคนอื่นรู้สึกยังไง คิดอะไร หรือต้องการอะไร
ทำให้ความสัมพันธ์กับผู้คนรอบข้างต้องพัง และใจเราเองที่ทุกข์ที่สุด บางทีเพื่อนร่วมงานที่ไม่ยิ้มให้เรา อาจเพราะแค่เขาขี้อาย ไม่ใช่เพราะเขาหยิ่งหรือไม่ชอบเรา
บางครั้งการที่แฟนไม่ตอบแชท อาจเพราะเขางานยุ่งจึงไม่มีเวลา เราไม่สามารถล่วงรู้ทุกอย่างในใจผู้อื่นได้อยู่แล้ว “เขามีเหตุผลของเขา”
เราแค่ต้องเปิดใจให้กว้าง และปล่อยวางการคิดไปเองทั้งปวง ไม่ต้องเอาใจไปจับ ดั่งคำสอนของ พ ร ะ พุ ท ธ เ จ้ า ที่ว่า “มันเป็นเช่นนั้นเอง..”
8. เลิกบ่นสิ่งรอบตัว
การบ่น ไม่ใช่อะไรที่มากไปกว่าการเสียเวลา ไม่ว่าคุณจะบ่นหูดับตับไหม้แค่ไหน ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรก็ตามที่เกิดขึ้นไปแล้วได้ คุณอาจทำให้คนอื่นรู้สึกผิดได้ แต่คุณไม่สามารถทำให้ตัวเองดีขึ้นได้จากการกระทำไร้สุขนี้หรอกค่ะ
และถ้าคุณเอาแต่บ่นทุกสิ่งที่ไม่พอใจอยู่ตลอดเวลา ทำตัวเป็นเหยื่อและคาดโทษกับสิ่งต่าง ๆ แล้วชีวิตก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น ลองเปลี่ยนมาเป็นมองข้ามมันไปบ้าง หยุดที่จะให้ความสนใจกับมัน แล้วรอดูกันค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคุณเปลี่ยนพฤติกรรมนี้ได้
9. เลิกตัดสิน
ทุกคนมีวิถีทางของตัวเอง มีเหตุผลของตัวเอง การตัดสินผู้คนตามบรรทัดฐานของเรา ทำให้เราไร้ซึ่งอำนาจที่จะมองเห็นตัวเอง จึงต้องเอาแต่คอยชี้นำความคิดที่เรามีต่อผู้อื่น
ซึ่งอาจไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป และไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย สิ่งที่เราควรทำ คือโฟกัสแค่ตัวเราเองเท่านั้นก็พอ รับผิดชอบต่อสิ่งที่เราสามารถทำได้ ผู้คนรอบข้างจะปฏิบัติกับเราตามที่เราปฏิบัติต่อเขาเอง
10. เลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น
มนุษย์ทุกคนมีความต่าง เพราะอย่างนั้นความเป็นปัจเจกจึงมีเสน่ห์ ลองจินตนาการดูว่าถ้าทุกคนเหมือนกันไปหมด โลกคงน่าเบื่อน่าดู และเพราะทุกคนต่างกัน
การเปรียบเทียบจึงไม่ใช่สิ่งจำเป็น เพราะตัวชี้วัดความสุขของแต่ละคนนั้นไม่เหมือนกัน แม้สังคมแห่งการแข่งขันจะกดดันให้เราเกิดความรู้สึกเปรียบเทียบโดยไม่รู้ตัว
แต่เมื่อวันหนึ่งหากเราหยุดนิ่ง และระลึกรู้ได้ว่า เราสามารถจะดี และมีความสุขได้ โดยไม่ต้องใช้ความตกต่ำของคนอื่นเป็นเครื่องมือ เมื่อนั้นใจเราจะมีอิสระ ความสุขสงบใจก็พลันบังเกิด
ขอขอบคุณ คุณ ดารัณ พันสวะนัด