
สำหรับใคร ที่มีความรู้สึก “อยากเปลี่ยนงาน” หรือว่าคิดมาซักพักแล้ว ต้องขอบอกเลยว่า ช่วงนี้เป็นฤดูกาล “ย้ายทีม” ที่เหมาะสมที่สุด แต่ก็อีกนั่นแหละ การย้ายงานสำหรับใครหลายๆ คน “ไม่ใช่เรื่องง่าย” เลยอาจเป็นเพราะความมั่นคง ความไม่กล้า เ สี่ ย ง ความผูกพันธ์ระหว่างทีมงานกับบริษัท
สภาพแวดล้อมการทำงาน เพื่อนร่วมงาน ความสนุกและท้าทายใน เ นื้ อ งาน ฯลฯ สำหรับคนที่หนักแน่นพอและมีเหตุผลรองรับอยู่แล้ว ผมคงไม่แนะนำอะไรมากนะครับ แต่สำหรับคนที่ยังมีความ “ลังเล” ผมขอให้ลอง “ถามตัวเอง” และลองฟังคำแนะนำจากผมดูครับ
1. บ้านคุณรวยอยู่แล้วใช่หรือไม่?
คำถามง่ายๆ ที่จะช่วยให้คุณเห็นความชัดเจน ในการลาออก ถ้าคุณบ้านรวย มีทุนทรัพย์อยู่แล้ว คงไม่ต้องคิดอะไรให้มากในการลาออก เพื่อออกมาพักผ่อนหรือพักใจ แต่ถ้าบ้านไม่รวย การลาออกอย่างกะทันหันโดยไม่มีงานรองรับ ไม่คิดหน้าคิดหลัง
อาจจะส่งผลเสียอย่างมากถ้าคุณไม่มีเงินเข้ามาในขณะที่ ยังไม่ได้งานใหม่ การขาดเงินและอยู่ในสถานะตกงาน จะทำให้คุณตกที่นั่งลำบาก จงคิดเยอะๆ ว่ากรณี เ ล ว ร้ า ย ที่สุด คุณจะใช้ชีวิตโดยที่ไม่มีงานทำได้นานแค่ไหน
เลี้ยงตัวเองได้อีกกี่เดือน ยังมีเงินผ่อนบ้านผ่อนรถใช่หรือไม่ ถามตัวเองให้เคลียร์ก่อนเสมอ ถ้ายังไม่พร้อมก็ยังไม่ต้องลาออกนะครับ
2. มีปัญหากับเจ้านายหรือเพื่อนร่วมงานใช่รึปล่าว?
เรื่องนี้เป็นเหตุผลสำคัญว่า คุณจะอยู่หรือคุณจะไป ถ้าคุณมีปัญหาอยู่จริง จงวิเคราะห์ให้ดีว่าเป็นเพราะคุณเองที่ทำงาน ห่ ว ย เองหรือกลายเป็นตัวปัญหาซะเองหรือปล่าว สมมติว่าเป็นที่ตัวคุณ จงปรับปรุงแก้ไขแล้วอย่าพึ่งลาออกซะนะครับ ดีไม่ดีคุณจะถูกไล่ออกเอง
แต่ถ้าไม่ การเลิกทำงานกับเจ้านายที่ทำให้ชีวิต คุณมีปัญหา การงานไม่ราบรื่น โดนข่มเหงรังแก ทำงานไม่เป็น ทำให้คุณเสื่อมศรัทธาไม่ว่าจะเป็นเหตุผลอะไรก็ตามจนก่อให้ขาด “ความไว้วางใจ” ซึ่งกันและกัน เรื่องของเจ้านายไม่เท่าไหร่เพราะเขามีอำนาจเหนือคุณ
แต่คุณเองนั่นแหละ ที่ต้องถามจริงๆ ว่าทนอยู่หรือว่าอยู่ทน การมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานก็เช่นกัน มันจะตรงกับคำที่ว่า “คับที่อยู่ได้ คับใจอยู่ยาก” นั่นเองครับ
3. มีเงินเก็บมากพอระหว่างที่ไม่มีงานทำ?
เพราะเงินเก็บส่วนนี้ หมายถึงการคำนวนสภาพคล่องในแต่ละเดือนเมื่อไม่มีรายได้หรือไม่มีงานทำ เช่น ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่ากินอยู่ ค่าเทอมลูก ค่าเลี้ยงดูครอบครัว ฯลฯ ถ้าคิดว่าไม่สามารถอยู่ได้ โดยไม่มีงานทำเกิน 3 เดือน ผมคิดว่ายัง เ สี่ ย ง เกินไปที่จะลาออกครับ
เพราะการหางานใหม่บางทีก็ไม่ใช่เรื่องง่าย กรณีที่คุณไม่เจ๋งจริง ยิ่งอายุคุณสูงขึ้นและตำแหน่งใหญ่โตขึ้น บางทีกระบวนการคัดเลือกพนักงาน และสัมภาษณ์งานอาจจะยาวเกินกว่านั้น แต่ถ้าคุณมั่นใจว่ามีเงินเก็บเลี้ยงตัวเองมากพอถึง 3 เดือน คุณสามารถลาออกเพื่อหางานใหม่โดยที่ เ สี่ ย ง น้อยได้ครับ
4. อายุยังไม่ถึง 40 ใช่หรือไม่?
สำหรับคน Gen-Y ที่อายุ ยังไม่เกิน 32 ปีและ Gen-Z ที่พึ่งเรียนจบใหม่ การลาออกเพื่อย้ายงานและหาความต้องการใหม่ๆ ถือว่าเป็นเรื่องปกติมากครับ ถ้าคุณรู้ตัวดีแล้วว่าไม่ชอบงาน ที่ทำและไม่รู้ว่าจะดันทุรังไปทำไม ผมสนับสนุนให้ “ลาออก” เพื่อลองค้นหาตัวเองดู
เพราะคุณยัง เ สี่ ย ง ได้อีกเยอะ แต่สำหรับ Gen-Y ที่อายุประมาณ 32 ปีขึ้นไป การเปลี่ยนงานหรือลาออกเพื่อค้นหาตัวเอง อาจจะ เ สี่ ย ง เกินไป เพราะอายุประมาณนี้ ถ้าคุณอยากเป็นลูกจ้างมืออาชีพ คุณจะต้องมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญระดับหนึ่งเพื่อขึ้นไปให้ถึงพนักงานระดับสูง
จงพิจารณาเรื่องนี้ให้ดี ส่วนคนที่อายุเกิน 40 ปีไปแล้วและยังไม่มั่นใจว่าการลาออก จะได้งานหรือมีชีวิตที่ดีขึ้น คุณจะต้องลงสนามสู่ตลาดงานที่มีที่ว่างให้คุณน้อยลง เพราะคุณต้องแข่งกับเด็กรุ่นใหม่ในตลาดด้วย จงคิดถึงเรื่องนี้ดีๆ
5. ได้งานใหม่แล้วหรือยัง?
ถ้าได้งานใหม่ในฝันหรืองานที่ต้องการ แล้วก็ต้องขอกล่าวว่า “ยินดีด้วยครับ” จะออกไม่ออกก็เรื่องของคุณแล้วล่ะแต่ถ้ายังไม่ได้งานใหม่ การลาออกด้วยอารมณ์อาจจะ เ สี่ ย ง เกินไปตามที่บอกในข้อ 1 และข้อ 3 เพราะคุณจะขาดสภาพคล่อง ในกรณีที่มีหนี้ต้องชำระอยู่
การลาออกโดยที่ยังไม่ได้งานใหม่ ถือว่าเป็นเรื่องที่ เ สี่ ย ง และไม่คุ้มมากๆ เลยล่ะครับ ดังนั้นจงสร้างความมั่นใจให้ได้ว่ามีงานใหม่เข้ามาและพร้อมเริ่มงานกับที่ใหม่ก่อนลาออกนะครับ
6. ทำธุรกิจเสริมอยู่หรือไม่?
ธุรกิจเสริมในที่นี้คืองานเสริมระหว่าง ที่คุณทำงานหลักไปด้วย เช่น ขายประกัน ธุรกิจเครือข่าย ธุรกิจส่วนตัว ฟรีแลนซ์ ธุรกิจออนไลน์ ลงทุนหุ้น ที่ดิน อสังหาฯ เก็บค่าเช่า ฯลฯ ถ้าคุณมีรายได้เสริมจากงานเหล่านี้และได้รับค่าตอบแทนที่ดี
การลาออกเพื่อออกมาสร้างตัวด้วยตนเองก็เป็นสิ่งที่น่า เ สี่ ย ง (และคุ้มที่จะ เ สี่ ย ง ด้วย) นักธุรกิจหลายคนออกมาเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง และประสบความสำเร็จเพราะมีปัญหากับที่ทำงานเก่า จึงออกมาทำธุรกิจด้วยตัวเองก็หลายราย (ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ฮา)
แต่ถ้าคุณไม่มีงานเสริมเลย การลาออกหรือได้งานใหม่ที่ไม่ได้ดีไปกว่าเดิมเท่าไหร่ก็ถือว่าเป็นความ เ สี่ ย ง ที่อาจจะไม่คุ้มครับ
7. คุณได้รับค่าจ้างที่น่าพอใจหรือไม่?
บางที คุณอาจจะเป็นคนที่ทำงานดี มีผลงานที่น่าประทับใจ แต่อยู่กับบริษัทที่ให้ผลประโยชน์คุณแบบธรรมดา ไม่มีอะไรหวือหวา คงไม่ผิดอะไรที่คุณเริ่มเห็นเพื่อน รอบตัวมีงานทำที่ดีกว่าคุณ มั่งคั่งมากกว่าคุณ ชีวิตแลดูสุขสบายและมีความสุขมากกว่าคุณ
ที่สำคัญคือรายได้โดยเฉพาะเงินเดือนสูงกว่าคุณเยอะ ทั้งๆ ที่คุณก็ทำงานได้ดี สวนทางกับคุณที่รายได้ ไม่ค่อยเพิ่มขึ้น แต่รายจ่ายและภาระกลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เช่น บ้าน รถ ลูก เมีย ฯลฯ จนคุณเริ่มรู้สึกว่าเงินไม่พอใช้ ไม่สามารถมีเงินมากกว่านี้ได้
การลาออกเพื่อเปลี่ยนงานใหม่ ที่ได้ค่าตอบแทนที่ดีกว่าก็เป็นสิ่งที่คุณจะลอง เ สี่ ย ง ดูก็ได้ หรือลองคุยกับเจ้านายก่อนว่าคุณอยากได้รายได้มากกว่านี้ อาจจะฟลุ้กได้เงินเดือนขึ้นก็ได้ แต่ส่วนใหญ่จะยากนะ เพราะนายจ้างหาคนมาแทนคุณได้ถ้าคุณไม่ใช่คนที่ขาดไม่ได้ (ฮา)
8. บริษัทมีความมั่นคงหรือไม่?
ไม่ว่า จะเป็นบริษัทบ้านๆ หรือบริษัทระดับโลก คุณต้องวิเคราะห์ให้ออกว่าธุรกิจของบริษัทที่คุณทำยังมี สุ ข ภ า พ ดีอยู่หรือเปล่า ตรวจสอบให้ละเอียดโดยเฉพาะข่าวลือ ที่พูดกันในออฟฟิศหรือตัวเลขทางเศรษฐกิจจากข่าว เว็ป ตลาดหุ้น ว่ายังไปต่อได้มากแค่ไหน
แม้แต่ระดับโลกเองก็พลาดได้ เช่น บริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยี พอหัวพลาดเป้า ก็เริ่มปลดพนักงานออกอย่าง โ ห ด ร้ า ย คุณอาจโดนเชือดโดยไม่รู้ตัวก็ได้ครับ ส่วนบริษัทบ้านๆ ที่ไม่ชัดเจนเรื่องความมั่งคั่งยิ่งไม่ต้องพูดถึง ถ้าเจ๊งก็ถูกเลิกจ้างแน่นอน
เพราะส่วนใหญ่ถ้าธุรกิจของบริษัทเป็นผู้นำตลาด พนักงานมักจะไม่ค่อยลาออก (เพราะรายได้และโบนัสที่ดี) ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูดีๆ นะครับ
9. งานที่ทำอยู่ไม่มีทางที่จะทำให้คุณก้าวหน้าแล้วใช่หรือไม่?
ข้อนี้อาจจะฟังดูแรงๆ นะครับ แต่หลายๆ เคสก็พิสูจน์แล้วว่า งานบางตำแหน่ง ทำให้ ต า ย คุณก็ไม่มีทางโต คุณค่ามีจำกัด ถ้าคุณพอใจแค่นั้นก็แล้วไป แต่ถ้าคุณไม่พอใจและต้องการแสวงหา ความก้าวหน้า การลาออกเพื่อหางานใหม่ที่ท้าทายและมีบันไดการเติบโตที่เป็นไปได้ตามใจฝัน
เช่น งานขาย ก็เป็นสิ่งที่คุณควรลองที่จะออกไป เ สี่ ย ง ดู แต่ถ้ายังหาตัวเองไม่เจอเลย ไม่รู้ว่าชอบอะไร ถนัดอะไร ทำงานอะไร ทั้งๆ ที่โตแล้ว ผมขอแนะนำว่า อย่าลาออกเลยครับ เอาตัวเองไป เ สี่ ย ง ซะปล่าวๆ
10. คุณยังมีความสุขกับงานที่ทำอยู่ใช่หรือไม่?
ข้อสุดท้าย นั้นถือว่า “ตัดสิน” กันเลยว่าคุณควรที่จะอยู่ต่อหรือลาออก ถ้าคุณยังมีความสุขดี ไม่มีปัญหาอะไร ผมไม่แนะนำให้ลาออกเพราะ การทำงานด้วยความสุข นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ดีที่สุด เพราะมันมีความหมายรวมทุกอย่าง เช่น สุ ข ภ า พ การเงิน เวลา ความรับผิดชอบ เพื่อนร่วมงาน ฯลฯ
แต่ถ้าคุณไม่มีความสุขแล้วล่ะก็ ให้ลองกลับไปอ่าน ข้อ 1 ถึงข้อ 9 ว่าคุณตอบว่า “ไม่” กี่ข้อ ถ้ามากกว่า 5 ข้อก็เป็นสัญญานที่คุณควรจะลาออกได้แล้วครับ
ถ้าใครมีมากกว่า 5 ข้อก็ไม่ผิดที่จะเริ่มพิจารณาว่าจะลาออกหรือไม่ลาออกนะครับ
ขอขอบคุณ s a l e s 1 0 0 m i l l i o n