
1. รู้สึกว่าอยู่ต่อไปยังไงก็ไม่โต
ถ้ารู้สึกว่าตัวเองไม่มีโอกาสก้าวหน้าในที่ทำงานเลย ก็ไม่แปลกที่จะนึกถึงเรื่องหางานใหม่เพราะโอกาสในการก้าวหน้าคือเป้าหมายสำคัญในการทำงานของมนุษย์เงินเดือน
อย่างเราซึ่งโอกาสในการก้าวหน้าที่หมายถึงอาจไม่ใช่แค่การเลื่อนตำแหน่งให้สูงขึ้นเพียงอย่างเดียวแต่มันอาจจะหมายถึงการได้รับโอกาสใหม่ ๆ เช่น การได้รับมอบหมาย
ให้ทำโปรเจกต์ใหม่ได้ทำสิ่งที่เราไม่เคยทำมาก่อน หรือได้เรียนรู้งานจากระดับหัวหน้างานยังไงก็ตามก่อนที่คุณจะรีบลาออกจากงานด้วยเหตุผลนี้ลองเข้าไปคุยเรื่องนี้
กับหัวหน้างานก่อนจะดีที่สุดแต่ถ้าคุยแล้วยังดูไม่มีโอกาสล่ะก็ อย่ารอช้าที่จะลาออกมาหาที่ที่ให้โอกาสคุณก้าวหน้ามากกว่านี้
2. พูดคุยเรื่องงานในแง่ลบให้คนในครอบครัวฟัง
ช่วงเวลาสุขสันต์อย่างเวลาทานข้าวกับครอบครัวจากที่เคยเป็นการพูดคุยเรื่องราวสนุกสนานในที่ทำงานของเรา วีรกรรมน่าสนุกของลูกที่โรงเรียนและวางแผนไปเที่ยว
ด้วยกันในวันหยุด ย า ว ที่จะมาถึง ถูกแทนที่ด้วยการถูกตำหนิและถูกต่อว่าจากที่ทำงานของเราเป็นหัวข้อหลัก แทรกด้วยพฤติกรรมที่ไม่ดีของเพื่อนร่วมงานวันแล้ววันเล่า
ที่คนในครอบครัวของเราได้รับฟังแต่เรื่องงานในเชิงลบหากสถานการณ์นี้ยังเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำและมีแนวโน้มว่าจะบ่อยขึ้นเรื่อย ๆเราอาจต้องเริ่มพิจารณาถึงงานของเรา
อย่างจริงจังมากขึ้นแล้ว
3. เบื่อและไม่อยากทำงาน
ภาพที่ทุกคนจำได้ว่าเราคือเบอร์หนึ่งในแผนกหายไปทุกวันนี้แค่จะเข็นให้งานเสร็จสักชิ้นในแต่ละสัปดาห์ยังยากเลย เพราะเราเริ่มเช็กโซเชียลทุก ๆ สิบนาทีการทำงานกลายเป็น
สิ่งสุดท้ายที่คิดถึง หมดความกระตือรือร้นและเบื่อหน่ายอยู่ตลอดเวลางานที่ได้รับมอบหมายมาถูกปล่อยค้างเอาไว้ซึ่งนอกจากกระทบต่องานของตัวเองแล้ว สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้
ยังส่งผลให้เริ่มมี ป า ก เ สี ย งกับเพื่อนร่วมงานเนื่องจากงานของเราช้าเกินกำหนดกระทบต่อระบบการทำงานในแผนกหนักกว่านั้นคือการทะเลาะกับหัวหน้าจนทำให้รู้สึกว่า
เราไม่สามารถควบคุมอะไรในการทำงานได้เลย
4. คิดถึงภาพตอนเกษียณ
ถ้าอยู่ ๆ ก็จินตนาการภาพตัวเองปลดเกษียณหยุดทำงานและนอนพักผ่อนอยู่บ้าน บางคนถึงขั้นนับปี นับเดือน นับวันที่จะเกษียณจากงานที่ทำอยู่ตอนนี้เลยเพราะ
ในแต่ละวันนั้นไม่ได้มีแรงจูงใจให้อยากไปถึงที่ทำงานไม่ได้มี Passion ที่อยากจะสร้างสรรค์สิ่งที่มีคุณค่าออกมาชีวิตการทำงานหมดไปกับงานที่ทำแบบส่ง ๆ เท่านั้น ก็
อาจจะถึงเวลาที่เราต้องเริ่มมองหาทางใหม่ ๆ ได้แล้วเพราะการนิ่งดูดายต่อเวลาที่ผ่านไปแบบนี้ ไม่สามารถช่วยให้ความหวังที่จะเกษียณเป็นจริงได้แน่นอน
5. เริ่มมองหางานใหม่
ถ้าเว็บที่เราเข้าเริ่มเปลี่ยนเป็นเว็บไซต์หางาน เริ่มพิมพ์คำว่า “หางาน”ลงไปใน Search Engine พร้อมเคาะปุ่มเอ็นเทอร์นั่นเท่ากับว่าเราผ่านจุดสุดท้ายของความอดทน
ในงานปัจจุบันไปแล้ว และหากทุกวันมีแต่คำว่า “ฉันจะหางานใหม่!” แวบเข้ามาในความคิด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามอาจไม่เป็นการดีที่เราจะใช้ชีวิตด้วยการทนทำงาน
ที่ไม่สร้างความสุขแบบนี้ต่อไปซึ่งนอกจากจะเป็นผลเสียต่อตัวเองแล้ว ครอบครัว เพื่อนร่วมงาน รวมถึงบริษัทก็ต่างได้รับผลกระทบไปด้วยเช่นกัน
6. ระบบ ชี วิ ต พั ง
จากที่เคยเป็นคนนอนหลับง่าย กลายเป็นคนนอนไม่หลับ ตื่นมากลางดึกบ่อย ๆเพราะต้องเก็บเอาความ เ ค รี ย ด จากเรื่องงานไปนอนฝัน นี่คือจุดเริ่มต้นของระบบชีวิต
ที่แปรปรวนหนำซ้ำบางคนจากที่เคย สุ ข ภ า พ แข็งแรงกลับมีอาการ ป่ ว ย บ่อยขึ้นซึ่งการ ป่ ว ย ทางกายนี่แหละที่เป็นตัวชี้วัดอย่างหนึ่งได้เช่นกันว่า สุ ข ภ า พ จิ ต
ของเราอาจจะกำลัง แ ย่ ไปด้วยนอกจากนี้หากงานรบกวนความคิดจนทำให้ทุก ๆ เย็น ต้องนัดเพื่อนออกไปสังสรรค์เพื่อให้หาย
เ ค รี ย ด จนเริ่มมีสโลแกนติดปากใน
ห มู่ เพื่อนว่า “ดื่ ม เพื่อให้ลืมงาน” ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นแล้วว่างานนี้อาจจะไม่เหมาะกับเราอีกต่อไป
เมื่อ อ่ า น มาถึงตรงนี้ ถึงจะรู้สึกว่ามีหลายสัญญาณที่ตรงกับเราแล้วก็อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจลาออกจากงาน ทางที่ดีกว่าคือการเริ่มตรวจสอบตัวเองพิจารณาว่าเรากำลังเผชิญ
กับปัญหาอะไร เราแก้ไขให้มันดีขึ้นได้ไหมเพราะหากปัญหาที่เกิดขึ้นนั้นมีสาเหตุจากตัวเราเองไม่ว่าจะเปลี่ยนงานอีกกี่แห่งปัญหานี้ก็ไม่หายไป ค่อย ๆ วางแผนและตัดสินใจ
อย่างรอบคอบเชื่อว่าทุกคนสามารถกลับมามีความสุข สร้างสมดุลทั้งชีวิตและการงานในอนาคตได้อย่างแน่นอน
ที่มา : j o b t h a i