
การคิดแบบคนอื่นทั่วๆ ไป อาจทำให้เรามีเงินเก็บมากขึ้นแต่ยังห่างไกลคำว่ารวยอยู่มากโข วิธีคิดของคนรวย ที่จะมาแนะนำนี้ เป็นวิธีคิดที่ล้ำ แปลก แหวกแนว แต่ทำให้
เรารวยขึ้น ถ้านำไปปรับใช้ได้ถูกวิธี
1.ใครๆ ก็เป็นคนรวยได้
คนรวยคิดว่าใครก็เป็นคนรวยได้ทั้งนั้น ไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์หรือเรียนสูงก็ทำได้ ถ้าอยากเป็นคนรวย ต้องเปลี่ยนมโนภาพทางการเงินให้เป็นบวก คิดเสียว่าเราเป็นคนที่รวยแล้ว
ถ้าอยากรวยแต่ยังพูดถึงเรื่องความต่างทางฐานะ เ ส พ ติ ด เรื่องความจนหรือความเป็นผู้ด้อยกว่า ความสำเร็จก็จะอยู่ไกลเกินเอื้อมอย่างแน่นอนเริ่มต้นแบบเบาๆ ด้วยการ
จินตนาการภาพอนาคตที่มีความสุข คิดภาพตัวเองสวมใส่เสื้อผ้าดีๆ ภาพตัวเองกำลังนั่งอยู่บนรถยนต์ราคาแพง อาศัยอยู่ในบ้านหลังโต มีสระว่ายน้ำ ลองวาดภาพชีวิต
ในอนาคตว่าเราคือคนรวย แล้วสิ่งแวดล้อมที่ห้อมล้อมเราอยู่จะเปลี่ยนไป
2.ไม่เก็บเงินอย่างเดียว
คนรวยจะคิดว่าการใช้เงินสำคัญพอๆ กับการเก็บเงิน ถ้าเอาแต่เก็บอย่างเดียวอาจเกิดผลข้างเคียงได้เพราะการไหลของเงินถูกปิดกั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนใช้เงิน เก็บเงินหรือ
ล ง ทุ น เขาจะคิดถึงคุณค่าในอนาคตของมันเสมอ บางครั้งเราอาจเห็นคนที่ใช้เงิน ซื้ อ ของแพงๆ มาใช้ เป็นเพราะพวกเขามั่นใจใน ร ะ ย ะ ย า ว แล้วว่า เขาจะได้รับคุณค่า
มากกว่านั้นดังนั้นอย่ามัวแต่ค่อนแคะว่าทำไมถึง ซื้ อ คอมพิวเตอร์แพงๆ เป็นแสนมาใช้ โดยไม่รู้ว่าเขาสามารถใช้มันหาเงินได้มากเท่าไหร่จากของสิ่งนั้น จงคิดว่า
เราจะใช้เงินอย่างไรถึงจะได้ผลตอบลัพธ์ ร ะ ย ะ ย า ว ที่คุ้มค่าคืนมามากกว่า
3.ดูแลกระเป๋าเงินให้ดี
สำหรับคนรวย กระเป๋าเงินคือที่พักของเงิน จึงต้องดูแลให้ความสำคัญเท่าๆ กับเงิน เมื่อพวกเขาเห็นกระเป๋าเงินที่เต็มไปด้วยใบเสร็จรับเงินหรือธนบัตรที่ไม่จัดเรียงให้เรียบร้อย
เขาจะรู้สึกหงุดหงิด เหมือนกับคนเจ้าระเบียบที่เห็นของต่างๆ ในบ้านไม่เรียบร้อยนั่นเองอย่าแปลกใจที่เห็นพวกเขา ล ง ทุ น ซื้ อ กระเป๋าเงินแพงๆ มาใช้ เพราะสิ่งเหล่านั้นคงทน
และเป็นที่เก็บรักษาเงินชั้นดีนั่นเอง
4.ไม่กดเงินบ่อย
การกำหนดช่วงเวลาและจำนวนเงินอย่างคงที่ในการกดเงินจากตู้เอทีเอ็มเป็นหนึ่งในนิสัยการจัดการเงินของคนรวนที่ทำให้รู้ตั้งแต่รายได้ของเดือนหนึ่งเข้ามาจนถึง
วันที่รับรายได้ของเดือนถัดไป ว่าเรากดเงินจากบัญชีไปบ่อยมากแค่ไหนพวกเขาจะกดเงินเดือนละครั้งสองครั้งพอเพื่อควบคุมการใช้จ่ายของตัวเอง การกดเงินยิบย่อย
ครั้งละ 500 ไม่เคยอยู่ในหัวเพราะเขาคิดว่าการกดเงินทีละน้อยจะทำให้ไม่รู้ตัวว่ากดเงินใช้ไปแล้วกี่บาท และควบคุมยากขึ้นด้วยลองเปรียบเทียบดูสักเดือนหนึ่ง กดเงิน
ใช้ทีละน้อยแต่ถี่กับกดเงินทีละมากๆ แต่น้อยครั้ง แบบไหนจะทำให้เราควบคุมเงินได้บัญชีได้ดีกว่ากัน
5.ล ง ทุ น กับ สุ ข ภ า พ
เรื่อง สุ ข ภ า พ สำหรับคนรวยนั้นเป็นเรื่องใหญ่พอๆ กับการหาเงิน พวกเขาจะเจียดเวลามาออกกำลังกายเสมอแม้งานจะยุ่งเพียงใด เพราะเขารู้โดยสัญชาติญาณว่า
สุ ข ภ า พ คือทรัพย์สินที่ต้องรักษาไว้ และอย่างที่รู้กันว่า สุ ข ภ า พ ถ้าเสียไปเอากลับมาไม่ได้อย่างแน่นอนการออกกำลังกายวันละ 15-30 นาทีก็เพียงพอแล้วหากทำทุกวัน
การเต้นแอโรบิกช่วยให้ภูมิคุ้นกันดีขึ้นและลดการ เ กิ ด โ ร ค ตลอดจนเพิ่มความสามารถในการจดจำด้วย ทำให้ เ ลื อ ด ไปเลี้ยง ส ม อ ง ดีขึ้น และเป็นสภาวะที่ช่วย ก ร ะ ตุ้ น
การทำงานของ ส ม อ ง นี่คือสิ่งที่ช่วยดูแล ส ม อ ง ให้ สุ ข ภ า พ ดี พร้อมลุยงานต่างๆ มากขึ้น
6.จัดบ้านให้เป็นระเบียบ
บ้านของคนรวยมีของน้อย ถูกจัดวางไว้อย่างเป็นระเบียบและสะอาด การมีข้าวของวางอย่างไม่เป็นระเบียบและรกจะทำให้ พ ลั ง ของเงินเข้ามาไม่ได้ ถัดมาเป็นเรื่องห้องน้ำ
ห้องน้ำเป็นสถานที่ที่แสดงให้เห็นลักษณะเฉพาะของบ้านนั้นๆ ลองสังเกตบ้านที่เก็บเงินได้ จะเห็นว่าห้องน้ำถูกรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ เพราะห้องน้ำคือสถานที่ที่ พ ลั ง
ความมั่งคั่งสามารถไหลออกไปได้โดยง่ายสไตล์การใช้ชีวิตของคนเก็บเงินเก่งเรียกสั้นๆ ว่า มินิมัลลิสต์ ข้าวของที่อยู่รอบตัวล้วนเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ใช่ของที่อยากได้
พวกเขารู้ว่าวัตถุอะไรอยู่ตรงไหน จึงรู้ด้วยว่ามีอะไรเหลืออยู่ และไม่ไป ซื้ อ สิ่งที่ไม่จำเป็นมา
7.ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้
คนรวยจะกำหนดเป้าหมายที่เป็นไปได้และสัมผัสประสบการณ์ความสำเร็จไปทีละขั้นแล้วค่อยๆ ก้าวขึ้นไป เช่น คนทั่วไปอาจตั้งเป้าหมายจะหาเงินล้านให้ได้ในห้าปี
แต่คนรวยจะตั้งเป้าให้สั้นกว่านั้น เช่น จะต้องมีเงินแสนในสามเดือน การดีใจ 1 ครั้งกับดีใจ 10 ครั้งนั้นต่างกันมาก ยิ่งมีสิ่งให้ดีใจเยอะเท่าไหร่ ก็จะมีแรงขับเคลื่อนมากขึ้นเท่านั้น
8.จ่ายเงิน ซื้ อ เวลา
คนรวยคิดว่าเวลาคือเงิน ประหยัด 1 ชั่ ว โ ม ง ไว้พัฒนาความสามารถของตัวเอง แบ่งเวลาสัก 10 นาทีไว้เพิ่มมูลค่าตัวเองให้สูง เช่น การใช้เงินจ้างแม่บ้านมาทำความสะอาดบ้าน
ส่วนตัวเองก็นั่งทำงานของตัวเอง และใช้เวลานั้นพัฒนาความสามารถในการทำงานจนสำเร็จการเดินทางก็เช่นกัน พวกเขาจะหาที่อยู่ที่ใกล้บริษัทที่สุดเพื่อไม่ให้เวลาสูญเปล่า
อยู่บนท้องถนน เวลาในการเดินทางสามารถเอามาทำงานให้เสร็จได้ 1 งาน มีเวลาพักผ่อนเพิ่ม 1 ชั่ ว โ ม ง หรือมีเวลาทำ
อ า ห า ร เช้าด้วยตัวเอง หาสิ่งดีๆ ลงท้องก่อนเริ่มงาน
สิ่งที่ควรระวังมากที่สุดคือการใช้เวลาอย่างสิ้นเปลืองไปกับการประชุม ยิ่งประชุมนานเท่าไหร่ ความขัดแย้งก็จะมากขึ้นเท่านั้น นอกจากนั้นยังเป็นการใช้งาน ส ม อ ง อย่างหนัก
หรือบางครั้งอาจทำให้เกิดความเฉื่อยชาไปเลยก็ได้
ขอขอบคุณ amarinbooks