
ยิ่งลูกโตขึ้น การหวังลูกให้เป็นเด็ก เชื่อฟังว่านอนสอนง่าย ยิ่งกลายเป็นเรื่องยากเพราะลูกเริ่มมีความคิดและความต้องการเป็นของตัวเอง บางครั้งลูกสนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้ามากกว่า
หรือบางครั้งลูกก็ไม่อยากคุย ไม่อยากทำในสิ่งที่พ่อแม่ต้องการ จึงใช้วิธีทำหูทวนลม และเพิกเฉยต่อคำพูดของคุณพ่อคุณแม่ และนั่นอาจจะทำให้คุณสติแตกได้
1. สอนด้วยการเป็นแบบอย่างให้ลูกเห็น
เด็กวัย 3-6 ขวบ มักจะลอกเลียนแบบพฤติกรรมของคนใกล้ชิด โดยไม่สามารถแยกแยะได้ ควรหรือไม่ควร เลียนแบบพฤติกรรมอะไรทำให้หลายครั้งลูกเผลอลอกเลียนพฤติกรรมไม่ดี ของผู้ใหญ่
หรือคุณพ่อคุณแม่เมื่อถูกตำหนิและต่อว่า ลูกจึงไม่เข้าใจว่าา ‘ทำไมคุณพ่อคุณแม่ยังทำได้เลย’การทำให้ลูกเกิดความสงสัย โดยไม่ได้รับการอธิบายบ่อยครั้ง เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ลูกเริ่มไม่อยากที่จะเชื่อฟังพ่อแม่อีกต่อไป
สิ่งที่ควรทำ : ลูกเรียนรู้จากการกระทำ ได้ดีกว่าคำพูด ดังนั้นคุณพ่อคุณแม่ต้องเป็นตัวอย่างให้ลูกเห็นมากกว่าการออกคำสั่งว่าลูกควรทำอะไร หรือห้ามว่าไม่ควรทำอะไร
2. สอนให้ลูกใช้ความคิดแก้ปัญหา ด้วยตัวเอง
ประโยคคำสั่ง อย่า! ไม่! ห้าม! ทำให้ลูกรู้สึก ว่าตัวเองไม่ได้เรื่อง ทำอะไรก็ไม่ดีโดนห้ามตลอด ส่งผลต่อให้ลูกขาดความเชื่อมั่นในตัวเองกลายเป็นคนไม่มั่นใจกลัวผิด และไม่กล้า ที่จะคิดริเริ่มอะไรใหม่ๆ
สิ่งที่ควรทำ : ฝึกให้ลูกใช้ความคิดและแก้ปัญหาด้วยตัวเอง ยกตัวอย่างเช่น“ไปเก็บของเล่นสิลูก” เป็น “ไหนลูกลองคิดสิว่า จะเอาตุ๊กตาตัวนี้ไปเก็บไว้ไหนรถของเล่นนี้ล่ะเอาไปไว้ไหนดี”
นอกจากนี้ ควรหากิจกรรมสนุกๆ ทำร่วมกันกับลูกเมื่อคุณพ่อคุณแม่เห็นลูกทำไม่ถูกต้อง จะได้สอนลูกให้คิดแก้ปัญหาและสอดแทรกเรื่องของคุณธรรม จริยธรรมเข้าไปได้ด้วย
3. ฟังสิ่ง ที่ลูกต้องการจะบอก
บางครั้งสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่คิดก็ไม่ได้ถูกต้อง เสมอไป เพราะเด็กแต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง
สิ่งที่ควรทำ : ถามให้รู้ว่าลูกคิดอะไร ทำไปเพราะ อะไร มีอะไรอยู่ในใจ และตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูดเพื่อช่วยให้ลูกผ่อนคลายความกังวล และค่อยๆ เปลี่ยนความคิดของลูกให้ถูกต้อง
4. ไม่ใช้อารมณ์หรือเพิกเฉยความต้องการของลูก
เด็กวัย 2-3 ขวบ ยังไม่สามารถฟังและทำตามคำสั่งหลาย อย่างในเวลาเดียวกันได้จนทำให้พ่อแม่ใช้อารมณ์กับลูกหรือไม่สนใจลูกเลย
สิ่งที่ควรทำ : คอยจับสังเกตว่าลูกต้องการสื่อสารอะไร อาจใช้วิธีถามซ้ำๆเพื่อยืนยันในสิ่งที่ลูกทำ รวมถึงเมื่อต้องการ ให้ลูกทำอะไรพ่อแม่ควรพูดกับลูกให้ชัดเจนสั้น และกระชับใจความ
5. สอนด้วยคำพูด น้ำเสียงและสายตาแห่งความรัก
เมื่อไรก็ตามที่ลูกทำผิด หรือไม่ทำตามสิ่งที่คุณพ่อคุณแม่บอก คุณอาจจะอดไม่ได้ที่จะตะคอกลูกด้วยคำพูดแรงๆ และไม่สนใจฟังในสิ่งที่ลูกอยากอธิบาย
การขึ้นเสียงหรือตะคอกอาจทำให้ลูกสงบลงได้ก็จริง แต่ในอนาคตลูกก็จะทำผิดซ้ำอีกอยู่ดี
สิ่งที่ควรทำ : เริ่มจากดึงความสนใจของลูกด้วยการ ‘เรียกชื่อลูก’ ใช้คำพูดง่ายๆเพื่อให้ลูกทบทวนในสิ่งที่ทำผิด และใช้น้ำเสียงที่หนักแน่นแต่ไม่ดุดัน เช่น ถ้าลูกกำลังกินขนมอยู่และมีเศษขนมตกพื้น แทนที่พ่อแม่จะดุที่ลูกทำขนมหกหล่นลงพื้น
ลองเปลี่ยนเป็นบอกทางป้องกันและแก้ปัญหา เช่น “ขนมที่หกลงพื้นแล้วลูกต้องเก็บไปทิ้งลงในถังขยะ ให้เรียบร้อยนะครับและคุณแม่คิดว่าลูกควรเอาจานมารอง เพื่อขนมจะได้ไม่หกลงพื้นต่อไป”
นอกจากคำพูดกับน้ำเสียงแล้ว ภาษากายก็มีส่วนสำคัญในการช่วยให้ลูกรับฟังมากขึ้น คุณพ่อคุณแม่ควรย่อตัวให้สูงเท่าลูก มองลูกด้วยสายตาแห่งรัก และตั้งใจฟังสิ่งที่ลูกพูด
6. สอนด้วยการมีข้อตกลงร่วมกัน
เด็กทุกคนมีสิ่งที่ชอบ และไม่ชอบของตัวเอง บ่อยครั้งที่คุณพ่อคุณแม่ ให้ลูกทำสิ่งที่ไม่ชอบนานจนลูกต่อต้าน
สิ่งที่ควรทำ : เด็กวัย 2-3 ขวบ เป็นวัยแห่งการต่อต้าน การให้ข้อเสนอเพื่อเป็นข้อตกลงร่วมกัน ลดการโต้เถียงหรือการชวนทะเลาะลงได้
เช่น “ถ้าลูกช่วยแม่เก็บเสื้อผ้าแม่จะเล่านิทาน ให้ฟัง” หรือให้ทางเลือกอื่น ที่ไม่ใช่การลงโทษ เช่น..“ถ้าไม่ทำแม่จะตี” เป็น “ถ้าช่วยแม่ พ่อกลับมาเราจะได้กินข้าวกันเร็วขึ้น”
7. สอนด้วยการใช้เทคนิคที่เข้าใจง่าย
เด็กอาจจะยังฟังประโยคยาวๆ หรือหลายคำสั่งพร้อมกันไม่เข้าใจ
สิ่งที่ควรทำ : ใช้เทคนิคสอนให้ลูกจำง่ายขึ้น ยกตัวอย่างเช่น “มีมือเอาไว้ช่วยเหลือไม่ใช่เพื่อเอาไว้ตี” หรือ พูดให้ตื่นเต้นเร้าใจ เช่น “วันนี้ทำอะไรที่โรงเรียนบ้ าง”เปลี่ยนเป็น“เล่าให้ฟังหน่อยวันนี้ทำอะไรสนุกสุด”
และหลีกเลี่ยงคำว่า ‘ไม่’ หรือ ‘ห้าม’เพราะทำให้ลูกไม่อยากทำตาม เช่น “ห้ามดื้อ” เปลี่ยนเป็น “แม่ชอบลูกตอนที่เชื่อฟังแม่ที่สุดเลย”นอกจากนี้ คุณพ่อคุณแม่อาจเปลี่ยนมาใช้การให้คะแนนหรือสติ๊กเกอร์เพื่อให้ลูกมีเป้าหมายในการเชื่อฟังคุณมากขึ้น
8. หาสาเหตุของการไม่เชื่อฟัง
ถ้าลูกเป็นเด็กเชื่อฟัง คุณพ่อคุณแม่มาตลอด แต่บางครั้งที่ไม่เชื่อฟังอาจเป็นเพราะกำลังโกรธเศร้าเสียใจ หรือต้องการให้พ่อแม่เอาใจมากขึ้น เช่น มีน้องเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ ในบ้ านถูกกลั่นแกล้งหรือล้อเลียนตอนอยู่ที่โรงเรียน
สิ่งที่ควรทำ : พูดคุยและหาคำตอบ สาเหตุที่ลูกไม่เชื่อฟัง และบอกรักลูกให้ลูกเชื่อมั่นว่ามีพ่อแม่อยู่ข้างๆ เสมอ นอกจากนี้ควรสังเกตทัศนคติ วิธีคิดและการพูดของลูก เพื่อที่จะเข้าใจลูกมากขึ้น
ขอขอบคุณ b o u t m o m