
1. อย่าเป็นตัวของตัวเองเกินไป ในโลกออนไลน์
หลายคนเชื่อว่าโลกออนไลน์ เป็นพื้นที่ส่วนตัว จะโพสต์อะไร มันก็สิทธิ์ของเรา แต่รู้รึเปล่าว่า HR สมัยนี้นอกจากจะดู resume เราแล้ว ยังดูเฟสของเราด้วย เพื่อนเราที่เป็น HR ยืนยันมาว่าหน้าเฟสบอกความเป็นตัวตนที่แท้จริงของเราได้มากกว่า Resume เป็นสิบเท่า
สิ่งที่เราโพสลงบนโลกออนไลน์ของเรานั้นมีผลกับเราตั้งแต่ก่อนเข้างานซะอีก เมื่อเราเป็นมนุษย์เงินเดือนเต็มตัว เรื่องพวกนี้ยิ่งต้องระวังหรือถ้าอยากมีพื้นที่ ส่วนตัวจริงๆ แนะนำให้แยกเฟสที่ทำงาน กับ เฟสส่วนตัวเลย แล้วปิดสาธารณพด้วย
ยิ่งเรื่องดราม่าในที่ทำงาน เกลีย ดคนนั้น เบื่องาน หัวหน้างี่เง่า ห้ามโพสต์เด็ดขาด โพสต์ปุ้บมีคนแคปไป ฟ้ อ ง แน่นอน
2. จงเป็น “ลูกจ้างมืออาชีพ”
ถ้าอยากเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ประสบความสำเร็จ และมีความสุข จงเป็น “ลูกจ้างมืออาชีพ” ให้ได้ ลูกจ้างมืออาชีพก็คือคนที่ตระหนักได้ว่า “เราถูกจ้างมาด้วยค่าตอบแทนจำนวนหนึ่ง”นั่นหมายความว่าบริษัทเค้าต้องการอะไรบางอย่างจากเราแลกกับค่าตอบแทนนั้นๆ
เราต้องรู้ว่าบริษัทจ้างเรามาทำอะไร และทำมันให้ดีกว่าที่บริษัทคาดหวังหากต้องการความก้าวหน้าในหน้าที่หากงานที่ทำอยู่รู้สึกว่าไม่ตรงกับ skill หรือ passion ของเรา ก็ไม่ควรอดทนทำไป ควรจะหางานที่เราทำแล้วเรามีความสุขและทำได้ดีเพื่อดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด
นอกจากจะทำให้เราเติบโตในองค์กรแล้ว ยังทำให้เราพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาและไม่เบื่อด้วย แต่ก็ไม่ได้จะเชียร์ให้เป็นคนเหยียบ ขี้ ไ ก่ ไม่ฝ่อนะ อดทนทำไปจนถึงจุดหนึ่งเราจะรู้เองว่าควรไปทางไหนต่อ รีบหาสายงานที่ใช่ให้ได้ตั้งแต่เนิ่นๆ แล้วเราจะเป็น Expert ได้เร็วกว่าคนอื่น
อายุเท่านี้ไม่ต้องกลัวการลาออก จะลาออกกี่ครั้งก็ได้ ถ้าในที่สุดเราเจอสายอาชีพที่เรารักและอยากทำ จะเป็นอะไรที่คุ้มค่ามากและด้วยคอนเซ็ปท์เดียวกัน “เราถูกจ้างมาด้วยค่า ตอบแทนจำนวนหนึ่ง” อย่าทำงานหนักเกินกว่าค่าตอบแทนจนเกินไป ทุ่มเทได้ แต่ต้องมีผลลัพธ์ที่ดีตามออกมาด้วย
เช่น ได้ปรับเงินเดือน ได้ประเมินดี หาเวลาอยู่กับพ่อแม่ ญาติๆ บ้าง หันกลับไปมองข้างหลังบ้างว่าคนที่เป็นบันไดให้เรามายืนจุดนี้ ตอนนี้เค้าเป็นยังไงกันบ้างนะ? อย่าลืมว่าพ่อแม่แก่ลงทุกวัน ดูแลสุ ข ภ า พ ท่านด้วย ถ้าเดือนไหนมีเงินเหลือก็ตรวจสุ ข ภ า พ ให้ท่านแล้วหาเวลาไป มันไม่ลำบากหรอก แลกกับความสุขของพ่อแม่
3. มีแฟนในที่ทำงานได้ แต่ต้องยอมรับผลที่ตามมา
ถ้าคุณเป็นคนที่แยกเรื่องงาน กับเรื่องส่วนตัวไม่ออก แนะนำว่าอย่ามีแฟนในที่ทำงาน ไม่ได้บอกว่าไม่ควรคบคนในที่ทำงาน แต่ถ้าคบแล้วก็ต้องยอมรับผลที่ตามมาให้ได้ อาจต้องเจอเหตุการณ์
เช่น ทะเลาะกับแฟนมาแล้วต้องมาคุยงานกัน มีใครบ้างแยกแยะเรื่องส่วนตัว กับเรื่องงานออกจากงานได้ 100% บ้าง ถ้าไม่ต้องเจอหน้ากันทุกวันหรือทำงานใกล้ชิดก็ยังพอโอเค
แต่ถ้าทีมเดียวกันอาจจะเหนื่อยหน่อย ทะเลาะกันขึ้นมาเมื่อไหร่รู้ทีค่อนบริษัท
4. หาคนที่เป็นมากกว่า เพื่อนร่วมงานให้เจอ
ความแตกต่าง ระหว่าง “เพื่อน” กับ “เพื่อนร่วมงาน” คืออะไร…? ที่เค้าบอกว่ายิ่งโต ยิ่งหาเพื่อนยากก็คงจะจริง สมัยประถม การหาเพื่อนใหม่ไม่ยากเท่าสมัยมัธยม และ การหาเพื่อนในสมัยมัธยม ก็ไม่อยากเท่าตอนเข้ามหาวิทย า ลัย มันแปลว่ายิ่งเราโตขึ้นเท่าไหร่
เราจะหาเพื่อนยากขึ้นเท่านั้น และไม่ต้องบอกเลยว่าการหาเพื่อนที่จริงใจคนนึงในออฟฟิศมันยากแค่ไหน นอกจากจะมี เรื่องผลตอบแทน ทั้งตำแหน่ง เงินเดือน การประเมิน เข้ามาเกี่ยวด้วย หน้าที่หลักของมนุษย์เงินเดือนอย่างเราคือไปทำงาน ไม่ได้ไปทำกิจกรรมสานสัมพันธ์หาเพื่อน
ดังนั้น วันๆ เราจึงจะเจอแค่เพื่อนร่วมทีม ซึ่งส่วนใหญ่แล้วก็เป็นการคุยกันแค่เรื่องงานเท่านั้น การมีทีมที่อยู่ด้วยแล้วสนิทใจแบบนี้ เราคิดว่ามันคือกำไรชีวิต พยายามหาคนเหล่านี้ให้เจอในสังคมการทำงาน
แล้วเราจะอยากไปทำงานมากขึ้น ให้เราลองถามตัวเองว่า “ถ้าเราลาออกจากที่นี่ เรายังจะอยากนัดคนนี้ กินข้าวอยู่ไหม…?” ถ้าคำตอบคือใช่ ยินดีด้วย คุณเจอเพื่อนจริงๆ ในที่ทำงานแล้วววว
5. สนใจแต่อย่าใส่ใจลู่วิ่งคนอื่น โฟกัสที่ลู่วิ่งของเรา
เมื่อทำงานไปนานๆ เราอาจเห็นเพื่อนๆ ในที่ทำงาน ของเราหลายคนเริ่ม ออกไปเรียนต่อ สร้างครอบครัว บางคนเปลี่ยนงานไปงานที่เงินเดือนสูงสุดๆ บางคนเริ่มธุรกิจของตัวเองไอคนนั้น คนนี้ ได้ดิบได้ดีแล้วตัวเราล่ะทำอะไรอยู่ จงจำไว้ว่าอย่าเอาจังหวะชีวิตของเราไปเปรียบเทียบกับคนอื่นเด็ดขาด
โฟกัสที่ลู่วิ่งของเรา รู้ว่าเรากำลังจะทำอะไร รู้ว่าปลายทางเราต้องการอะไร รู้ว่าวันนี้เราทำดีกว่าเมื่อวานแล้วหรือยัง ก็เพียงพอแล้ว แอบมองลู่วิ่งคนอื่น บ้างเป็นบางครั้ง เพื่อเป็นแรงผลักดันตัวเองให้พยายามมากขึ้น แต่อย่าเอามาเปรียบเทียบจนทำให้ตัวเองทุกข์
6. เล่นการเมืองกับทุกคน
เล่นการเมืองกับทุกคนไม่ได้หมายความว่า ให้เราไม่จริงใจกับใคร แต่การเล่นการเมืองกับทุกคนคือ.. การที่เราดูว่าคนนี้เป็นคนยังไง จะเข้ากับเขาได้อย่างไร ไม่ได้บอกว่าให้สตอเบอร์รี่ หรือฝืนตัวเองมากๆ นะ แต่แต่ละคนเขาก็มีพื้นฐานนิสัย ความชอบ โตมาในสังคมที่แตกต่างกัน
การที่เราดูแล้วรู้ว่าจะ “อยู่ร่วมกับเขา แบบเป็นมิตร”ได้อย่างไรจะทำให้เราได้เปรียบมากๆ นอกจากวางตัวง่ายแล้ว เราจะไม่มี ศั ต รู เคสนี้รวมถึงบางคนที่ดูแล้วไม่ถูกจริตกัน การวางตัวกับเขาก็คือเฉยๆ
ทักทายสวัสดีตามมารย า ท ไม่จำเป็นต้องไปคุยก็ไม่ต้องคุย… เราไม่รู้หรอกว่าวันนึงโลก จะเหวี่ยงเราเข้าไปทำงานกับใคร เพราะฉะนั้น อย่าสร้าง ศั ต รู เด็ดขาด…!!!
7. โดนด่าวันนี้ ดีกว่าโดนด่าตอนอายุ 50
ด้วยความที่อายุเรายังน้อย นี่คือข้อได้เปรียบสุด เพราะ อายุยังน้อยความคาดหวัง จากคนรอบข้างมันเลยน้อยตามไปด้วย ทำอะไรผิดก็มักมีคนให้อภัยเสมอ
ถึงแม้ว่าเราจะรู้สึกกดดันในการทำงานสุดๆ แต่เชื่อเถอะ เราล้มเหลววันนี้ ดีกว่าเราไปล้มตอนอายุ 50 ถึงวันนั้นจะไม่มีคนคุ้มกะลาหัวเราด้วยซ้ำ
8. เราไม่ได้เกิดมาเพื่อทำงานอย่างเดียว
เราไม่ได้ทำงาน แล้วแฮปปี้ทุกวัน หลายครั้งที่เรากลับไปบ้านแล้วอยากจะลาออกมันซะ เดี๋ยวนั้น แต่ถ้าเรามีเป้าหมายอื่นๆ ในชีวิต เช่น เก็บเงินซื้อ บ้าน ซื้อ รถ เที่ยวรอบโลก การเปลี่ยนมาทำเรื่องที่เราชอบจะทำให้อารมณ์ดีขึ้น และเพิ่มความมั่นใจ เพราะการเฟลจากที่ทำงานส่วนมากมักทำให้เราเสียกำลังใจ
และขาดความมั่นใจในตนเอง สำหรับเรามันส่งผล ถึงการเข้าสังคม การตัดสินใจในเรื่องงาน และอีกมากมาย ยกตัวอย่าง เรามีเพื่อนคนนึงชอบตัดเย็บเสื้อผ้ามาก จริงจังขนาดลง ค อ ร์ ส เรียนเสาร์อาทิตย์
ตอนนี้ทำงานประจำไปด้วย ตัดเสื้อผ้าขายไปด้วย ตั้งใจทำงานเป็นเรื่องที่ดี แต่หาอย่างอื่น ทำบ้างชีวิตจะได้ไม่เฉาคาที่ทำงาน
ขอขอบคุณ bitcoretech